สิวเสี้ยนที่จมูก ใครไม่เคยเป็นไม่รู้จริงๆ ว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างไรในการมีจุดดำๆ ที่จมูกเต็มไปหมด ยิ่งหากมี สิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก เวลาล้างหน้า หรือเอามือลูปยังเป็นหนามแหลมๆ อีก เรียกว่ารำคาญทั้งสายตา และเวลาสัมผิสจริงๆ
แต่เราอยากจะบอกคุณว่า สิวเสี้ยนที่จมูด สามารถกำจัดได้ด้วย 8 วิธีที่เราจะเอามาแชร์ในบทความนี้! แต่ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความรู้จักกับสิวเสี้ยนที่จมูกสักหน่อย เพื่อให้ได้เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ จะได้เข้าใจวิธีการป้องกัน การรักษา และกำจัดได้ดียิ่งขึ้น
สิวเสี้ยนที่จมูกเกิดจากอะไร
หากจะแบ่งประเภทสิวทั้งหมดแบบรวมๆ ก็จะมี 2 ประเภท คือมีสิวแบบที่ไม่เกิดการอักเสบ และสิวที่เกิดการอักเสบ โดยสิวเสี้ยนจะเป็นสิวแบบที่ไม่เกิดการอักเสบ
สิ้วเสี้ยนที่จมูกเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยปกติร่างกายของเราจะผลิตไขมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวเพื่อไม่ให้มันแห้ง ซึ่งหากผลิตออกมาเยอะก็อาจจะเกิดการอุดตันได้ แต่! ยังไม่พอแค่นั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นสิวเสี้ยนก็คือ ความผิดปกติจากการที่ร่างกายของเราสร้างเซลล์ขนมากกว่าปกติ
ทีนี้พอรู้ขุมขนเกิดอุดตัน ที่มีทั้งไขมันที่มาอุดตันรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มาเจอกับเซลล์ขนขนาดเล็กมาก ที่รวมตัวกันแน่นกว่าปกติ เลยทำให้เกิดเป็นสิวหัวสีดำ และมีหนามแหลมๆ ออกมา ซึ่งหนามแหลมๆ ที่เราเรียกว่าเสี้ยน ก็คือขนที่อัดอยู่ข้างในนั่นเอง
สิวเสี้ยนสามารถเกิดขึ้นได้ในจุดที่มีไขมันเยอะ หรือมีต่อมไขมันขนาดใหญ่ ซึ่งจมูกของเราก็คือหนึ่งในส่วนนั้น เลยทำให้หลายคนมี สิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก
8 วิธีกําจัดสิวเสียนที่จมูก หรือสิวหัวดำ
ขอเกริ่นก่อนนะคะว่า วิธีกําจัดสิวเสี้ยนที่จมูก แต่ละวิธีไม่ได้เหมาะกับทุกคน และทุกสภาพผิว และยาบางตัวหากใช้ผิดก็จะมีอัตราย ทางที่ดีให้ลองปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนใช้ยาต่างๆ ค่ะ
1. ใช้ตัวยาที่มี Retinoids หรือวิตามินเอ และอนุพันธุ์ของวิตามินเอ
Retiniods (เรตินอยด์) คือ วิตามินเอ และอนุพันธุ์ของวิตามินเอ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดความมันใต้ชั้นผิวหนังด้วย
การใช้ตัวยาที่มีสารเรตินอยด์ หรือวิตามินเอ นอกจากจะช่วยลดการเกิดสิวเสี้ยนที่จมูก ยังช่วยให้สภาพผิวโดยรวมดูโอเคขึ้นด้วย
สำหรับยาที่มีสารในกลุ่มนี้ เช่น Retin A ที่จะมีสาร Tretinoid ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ Retiniods หรือ Differin ที่จะมีสาร Adapalene ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ Retiniods เช่นกัน
โดย Differin จะเป็นยาที่มาทีหลัง Retin-A ซึ่งก็จะถูกพัฒนาต่อยอดมามากกว่า โดยรวมๆ จะรู้สึกว่า Defferin อ่อนโยนกว่า Retin-A ระคายเคืองน้อยกว่า แสบหน้าน้อยกว่า
ทั้งนี้ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือยังไม่เคยใช้ และยังไม่ทราบว่าแพ้หรือเปล่า ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนนะคะ เพราะยาตัวนี้อาจทำให้เกิดการะคายเคืองได้ และผิวของแต่ละคนอาจเหมาะกับยาที่ต่างกัน
2. ใช้ตัวยาที่มี Salicylic Acid (BHA)
Salicylic Acid หรือ กรด BHA คือสารที่มีคุณสมบัติในการลอกผิวหนัง ผลักเซลล์ผิว โดยจะช่วยให้ผิวหนังนุ่ม และหลุดลอกออกมาง่าย สามารถช่วยรักษาสิวอุดตันต่างๆ
เจล หรือตัวยาที่มีกรด BHA ผสม ไม่ควรใช้บนผิวหนังที่มีแผล เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ซึ่งควรใช้เฉพาะจุดที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่ควรทาทั่ว นอกจากนี้อาจเกิดการละคายเคืองสำหรับบางคนที่ผิวหนัง Sensitive ได้เช่นกัน
ยาตัวนี้อาจส่งผลให้เกิดอันตรายได้หากใช้ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วๆ ไป หรือผู้ที่ตั้งครรภ์ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยก่อน เพราะยาตัวนี้อาจทำให้เกิดการะคายเคืองได้
3. ใช้ครีมกันแดดแบบ Oil Free
แสดงยูวีสามารถทำร้ายผิวหน้าของเราได้มากกว่าที่คุณคิด การทาครีมกันแดดเป็นประจำจะช่วยป้องกัน และรักษาผิวหน้าได้ในระยะยาว และช่วยส่งผลให้แก่ช้าด้วย แต่สำหรับคนที่เป็นสิวอุดตัน หรือมี สิวเสี้ยนที่จมูก ควรเลือกใช้ครีมกันแดดแบบ Oil Free เพื่อเลี่ยงความมันบนใบหน้า และการอุดตันของรูขุมขน
คุณอาจจะบอกว่า “เห้ย หน้าเรามันมาก จะทาครีมกันแดดอีกคงไม่ไหวมั้ง” ซึ่งเราเข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าหากโปะไปเยอะๆ จน “เมือก” สภาพวันนั้นก็คงจะเป็น Bad Day ไม่น้อย
แต่ครีมกันแดดก็มีหลายแบบ ที่ออกมาสำหรับสภาพผิวที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดดสำหรับผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวบอบบาง ซึ่งก็ต้องลองเลือกให้เหมาะกับผิวหน้าของตนเอง หรืออาจจะลองไปหาหมอผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำเรื่องยี่ห้อ และประเภทที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ
4. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง และทุกครั้งหลักออกกำลังกาย
การล้างหน้าไม่ใช่แค่ล้างยังไงก็ได้ คุณอาจกำลังคิดจะข้ามหัวข้อนี้ เพราะมันเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็รู้ และพูดถึงอยู่ประจำ
แต่เราก็จะขอบอกว่า หากคุณล้างเยอะเกินไป ถูกเยอะเกินไป หรือล้างเยอะเกินไป เช่น ล้าง 2 ครั้งก็จริง แต่แต่ละครั้งล้างซ้ำ 2 รอบ แบบนี้คือเยอะเกิน
โดยเฉพาะคนที่มี สิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก อาจชอบสร้างแรงๆ ล้างซ้ำๆ เพราะอยากให้มันหลุดออก แบบนี้ไม่ดีนะคะ
เพราะจะทำให้จมูกแห้ง หน้าแห้ง และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไขมันออกมาเยอะเกิน ซึ่งจะทำให้เกิดสิวอุดตัน ส่งผลให้เกิด สิวเสี้ยนที่จมูกอีก
5. ลดการสัมผัส และห้ามบีบด้วยตัวเอง
เข้าใจอยู่ว่าบางทีมันก็อดไม่ไหวอยากจะบีบมันออกมา ซึ่งในระยะสั้นมันอาจจะสามารถเอาสิวหัวดำ หรือ สิวเสี้ยนที่จมูก ออกไปได้จริงๆ แต่การทำแบบนี้ เสี่ยงต่อการอักเสบ และยังเป็นการทำร้ายผิวหนังบนจมูกอีกด้วย เพราะเมื่อเราบีบจะเท่ากับการเปิดรูขุมขนให้แบคทีเรียเข้าไปได้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ทีนี้สิวหัวดำอาจหาย แต่ทั้งหัวจมูกอาจจะกลายเป็นสีแดงแทน
หากอยากกดออกจริงๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีเครื่องมีที่เหมาะกับการใช้งาน และสะอาด
ส่วนเรื่องการสัมผัส ควรลดการสัมผัสจมูกให้น้อยลง เวลาคันก็ตั้งสติก่อน อย่าเอามือไปขยี้ เพราะการสัมผัสแรงๆ นอกจากจะไปกระตุ้นให้เกิดการบอบช้ำ ยังเป็นการเอาสิ่งสกปรก รวมถึงแบคทีเรียไปแปะไว้ที่จมูกอีกด้วย ซึ่งก็จะเพิ่มโอกาสให้เกิดการอุดตัน แบคทีเรียเข้าไปในรูขุมขุน และเกิดการอักเสบ
6. ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่จมูก
วิธีนี้ค่อนข้าง Popular มาก เพราะเห็นโฆษณาเยอะแยะไปหมด มีวางจำหน่ายแทบทุกที่ แต่ก็มีข้อควรระวังในการอยู่มากพอสมควร
ถึงแม้มันจะใช้งานง่าย แล้วได้ผลในการกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกจริง แต่ไม่ควรใช้งานบ่อย เพราะมันอาจจะเอาไขมัน และขนที่จำเป็นต่อผิวหนังออกไปด้วย ซึ่งทำบ่อยๆ ก็อาจทำให้จมูกแห่ง และคัน ทีนี้จะยิ่งทรมานกว่าเดิมนะคะ
อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการให้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่จมูก ทำงานดีขึ้น อาจลองอบไอน้ำอุ่นที่หน้าก่อน หากเป็นวิธีบ้านๆ ก็คือต้มน้ำ รอให้อุ่นๆ ขอย้ำว่าพออุ่นๆ แล้วค่อยๆ เอาหน้าไปอังกับไอ เพื่อให้รูขุมขนเปิด แต่ต้องระวัง เด็กๆ ไม่ควรทำด้วยตัวเองคนเดียว ควรมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย และผู้ใหญ่เองก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะหากทำไม่ดีอาจเกิดอันตรายได้
7. ใช้ตัวยาที่มี Benzoyl Peroxide (BP)
Benzol Peroxide (BP) เป็นตัวยาที่ส่วนใหญ่จะใช้กับสิวที่มีการอักเสบ เพราะมีความสามารถในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยทำให้ผิวแห้ง กำจัดไขมันส่วนเกิด แต่สิวเสี้ยน เป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบ
ซึ่งหากจะใช้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร อาจทำให้แห้ง และบางลง เพราะ BP จะช่วยลอกผิวทำให้ผิวบางลง แต่ก็อาจจะไม่ค่อยช่วยในการรักษาสิวเสี้ยนที่จมูก และอาจจะยังทำให้จมูกแห้งเกินอีกด้วย พอจมูกแห้งเกินบ่อยๆ ร่างกายก็จะผลิตไขมันออกมามากขึ้น พอไขมันมากขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดสิวเสี้ยนที่จมูกมากขึ้น
ทั้งนี้หากแพทย์เห็นว่าสิวเสี้ยนของคุณเริ่มมีอาการอักเสบ หรือมีสภาพอื่นๆ ที่เห็นควรแก่การใช้ตัวยา Benzol Peroxide ในการรักษา ก็อาจจะสั่งยาที่มีสาร Benzol Peroxide มาให้ใช้ได้ ดังนั้นก่อนใช้ยาตัวนี้ควรลองปรึกษาแพทย์ก่อน
ปล. Benzol Peroxide หากโดนเสื้ออาจจะทำให้เกิดคราบ หากไม่อยากให้เสื้อพัง ใช้ระวังด้วยนะคะ
8. เลี่ยงการใช้สารเคมีจากครีม เครื่องสำอาง และอื่นๆ
การที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเยอะ ไม่มีความอ่อนโยนต่อใบหน้าและจมูกเป็นประจำ จะช่วยให้รูขุมขน และผิวหนังบนในหน้าพังขึ้นทุกวันๆ
แต่ไม่ต้องถึงกับเลิกใช้เครื่องสำอาง เพียงแต่ว่าต้องเลือกเครื่องสำอาง สบู่ หรือครีม ที่มีมาสารที่ก่อให้เกิดสิว มีความอ่อนโยน หรือ Oil Free ซึ่งจะช่วยลดการโดยทำลายของผิวหน้า ลดอัตราการอุดตันของรูขุนขน เพราะการอุดตัดเนี่ยแหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิวเสี้ยน
ซึ่งหากต้องใช้เครื่องสำอาง ก่อนนอนต้องล้างออกให้หมดจด อย่าให้มีการตกค้าง เพราะจะส่งผลให้เกิดการอุดตันได้
สำหรับสบู่ล้างหน้า ไม่ใช่ยิ่งแรงยิ่งดี ยิ่งแรกยิ่งสะอาด อันนี้เป็นความเชื่อที่ผิด หรือบางคนเอาสบู่ถูกตัวไปล้างหน้า ก็จะยิ่งส่งผลให้ผิวหน้าบางลง และถูกทำลายมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วย เช่น หากทนทาน ก็อาจได้รับการทำลายน้อย แต่หาก Sensitive ก็จะโดยทำลายเร็ว
สิวเสี้ยนไม่ใช้ประเภทสิวที่น่ากังวลมาก เพราะเป็นสิวชนิดที่ไม่อักเสบ เพียงแต่จะสร้างความรำคาญ ทั้งนี้การดูแลตัวเองเบื้องต้นเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการ นอนเร็ว หยุดสูบบุหรี่ เลือกกินอาหารที่ดี ไม่มีไขมันเยอะ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนที่จมูกได้ หรือลอง วิธีกําจัดสิวเสี้ยนที่จมูก ที่เราได้นำมาแชร์กัน แต่อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งนะคะ
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วน
- “สิวเสี้ยนตอนที่ 1”, รศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน, mahidol.ac.th [Retrieved 14 Mar 2021]
- “5 เรื่องน่ารู้ของยา Differin ยารักษาสิวอุดตันที่ไม่พูดถึงไม่ได้”, facebook.com/ruenya.pharmacy [Retrieved 15 Mar 2021]
- “Remove Blackheads from Your Nose Plus Prevention Tips”, healthline.com [Retrieved 14 Mar 2021]
- “Tips for treating blackheads on the nose”, medicalnewstoday.com [Retrieved 14 Mar 2021]